Skip to main content


วันที่ 18-19 กรกฎาคม 2550 สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีวาระพิจารณา ร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... การนี้ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร เขียนบทความตั้งคำถาม "เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรัฐไทยจะยอมรับกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาคนไร้สัญชาติ ??" เพราะ
หลายครั้งที่ครูกฎหมายและคนทำงานวิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมลงนั่งน้ำตาซึม เป็นสิบปีที่เราทำงานวิจัย งานนี้ได้ให้องค์ความรู้ว่า จะต้องแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติในประเทศไทยอย่างไร ? แต่การผลักดันให้องค์ความรู้เข้าแก้ปัญหาความไร้สัญชาตินั้นไม่ใช่ของง่าย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงอันเป็นสาเหตุแห่งปัญหาเท่านั้น ปัญหาอีกส่วนนั้นยังมีสาเหตุมาจากอคติของผู้ที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาอีกด้วย

ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาเหตุแห่งปัญหานั้น ก็เป็นเรื่องที่แก้ไขได้โดยเข้าไปสืบสวนสอบสวนจนทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏชัด การไม่ยอมรับที่จะไปแสวงหาข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องที่เราได้เรียนรู้แล้วว่า ทำให้นายจอบิซึ่งเป็นคนกะเหรี่ยงตกหล่นจากทะเบียนราษฎรมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ.๒๕๑๒ จะเห็นว่า โดยศาสตร์แห่งการตั้งข้อสันนิษฐานในวิชานิติศาสตร์ แม้ข้อเท็จจริงบางส่วนของชาวไทยภูเขาดั้งเดิมในป่าจะไม่สมบูรณ์ดังเช่นคนในเมือง ก็มีระเบียบของกรมการปกครองตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๓ มาตั้งข้อสันนิษฐานทางกฎหมายให้ถือว่า ชาวไทยภูเขาที่เกิดก่อนวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๕ เป็นชาวเขาที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด เพราะกรมการปกครองตระหนักดีว่า ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่มีชาวเขานอกประเทศอพยพหนีภัยการสู้รบจากพม่าลาวเข้ามาปะปนกับชาวเขาใน แต่จะเห็นว่า เมื่ออำเภอแก่งกระจานไม่ยอมรับคำร้องที่จะสอบข้อเท็จจริงเพื่อเพิ่มชื่อจอบิในทะเบียนบ้าน การฟ้องร้องจึงเกิดขึ้นระหว่างนายจอบิและอำเภอแก่งกระจาน กระบวนการพิจารณาของศาลปกครองใช้เวลาเกือบ ๒ ปี มาเสร็จสิ้นในปลาย พ.ศ.๒๕๔๙ และกว่านายจอบิจะได้รับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านก็ตกกลางปี พ.ศ.๒๕๕๐ และบุตรอีก ๔ คนก็ยังมีสถานะเป็นคนไร้รัฐ เพราะยังไม่มีการบันทึกชื่อบุตรในทะเบียนบ้านพร้อมบิดา สรุปเวลาที่จอบิตกเป็นคนไร้รัฐ ก็เกือบ ๔๐ ปี และยังไม่ทราบว่า สำหรับบุตรนั้น จะใช้เวลาอีกเท่าไหร่

นอกจากปัญหาความไร้สัญชาติที่เกิดจากการไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงส่วนบุคคลของคนไร้สัญชาติแล้ว ความไร้สัญชาติก็ยังมาสาเหตุมาจากอคติ

อคติแรกที่งานวิจัยพบ ก็คือ การไม่ให้เวลาที่จะทำความเข้าใจปัญหา ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนหลายคนตกเป็นคนไร้สัญชาติ ยกตัวอย่างคนที่ประสบความไร้สัญชาติเพราะเหตุนี้ ก็คือ น้องกุ้ง ยุทธนา ผ่ามวัน นักศึกษาแพทย์จุฬาฯ ที่ถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติไทยมากว่า ๑๙ ปี ทั้งที่เป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด หากน้องกุ้งซึ่งถูกปฏิเสธสิทธิที่จะเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗ ไม่ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาสู้ อำเภอสว่างแดนดินก็คงไม่มีโอกาสได้ทราบว่า คนสัญชาติไทยโดยการเกิดคนหนึ่งถูกบันทึกในทะเบียนราษฎรเมื่อ ๑๘ ปีก่อนว่า เป็นคนสัญชาติเวียดนาม ทั้งที่เขาไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรของรัฐเวียดนามแม้แต่น้อย การแก้ปัญหาให้น้องกุ้งมิได้ยากเย็น ข้อเท็จจริงว่า น้องกุ้งเกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดาที่เกิดในประเทศไทย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่บันทึกเองโดยอำเภอสว่างแดนดิน ปัญหาก็คือ ไม่มีเวลาที่จะมาตรวจสอบดู และไม่ยอมรับที่จะแก้ไขปัญหาเมื่อมีการร้องของคนไร้สัญชาติเจ้าของปัญหา ถ้ากรณีไม่ได้รับความสนใจจากสื่อ ปัญหาของน้องกุ้งก็จะค้างคาต่อไป งานวิจัยบอกเราว่า คนในสถานการณ์ดังน้องกุ้งยังปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ไม่หยุดหย่อน อาทิ กรณีของน้องเดือน อุดมพันธ์ บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายที่สังคมไทยได้รับรู้ว่า ปัญหาความไร้สัญชาติยังปรากฏในคนสัญชาติไทยโดยการเกิด แม้จะไม่มีปัญหาความไม่ชัดเจนของข้อเท็จจริง ปัญหาเกิดจากความไม่ชัดเจนของอคติ

อคติที่สองที่งานวิจัยสังเกตเห็น ก็คือ เมื่อการแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติต้องเผชิญกับแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม มีนักการเมือง นักวิชาการ และข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า ความถูกต้อง ก็คือ การทำเหมือนเดิม ทำอย่างไรก็จะต้องทำอย่างนั้น ถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า กลไกและวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาคนไทยพลัดถิ่นที่ทำมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๖ ไม่ประสบความสำเร็จเลย ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ใช้อยู่ งานวิจัยพบว่า หน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคงไม่ลำบากใจที่จะยอมรับให้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติแก่คนไทยพลัดถิ่น แต่จะลำบากใจมากที่จะยอมรับการปฏิรูปวิธีการทำให้คนเชื้อสายไทยกลุ่มนี้ได้กลับมาซึ่งสิทธิในสัญชาติไทย เพื่อคนไทยพลัดถิ่นคนหนึ่งจะบรรลุที่จะกำบัตรประชาชนของคนสัญชาติไทยไว้ในมือ จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี นับแต่เขาบรรลุที่จะพิสูจน์ตนได้แล้วว่า เป็นผู้สืบสันดานจากคนเชื้อสายไทยก่อนการเสียดินแดนในปลายรัชกาลที่ ๕

ในวันนี้ คนในสังคมไทยจะรู้ไหมหนอว่า มีคนไทยเหมือนเราที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย มิใช่คนต่างด้าวในมิติทางสังคมและวัฒนธรรม กล่าวคือ พูดภาษาเดียวกับเรา คิดแบบเดียวกับเรา แต่ถือบัตรประจำตัวที่ออกโดยกรมการปกครอง บ้างก็ถูกเรียกว่า "ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไำทย" บ้างถูกเรียกว่า "ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย" บ้างถูกเรียกว่า "ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกงกัมพูชา" บ้างก็ต้องจำยอมไปถือบัตร "ลาวอพยพ" ทั้งที่เป็นคนเชื้อชาติไทยที่อพยพกลับมาจากจำปาศักดิ์ พระตะบอง ศรีโสภณ หรือเสียมราช งานวิจัยบอกเราว่า การพิสูจน์การสืบเชื้อสายจากคนสัญชาติไทยในดินแดนที่เสียไปไม่ได้ยากเย็น มีวิจัยหรือวิทยานิพนธ์หลายเล่มในเรื่องนี้ แต่การผลักดันให้กระบวนการคืนสิทธิในสัญชาติไทยให้แก่คนเชื้อสายไทยเหล่านี้ กลับเป็นเรื่องยาก เต็มไปความรู้สึกที่เลวร้ายต่อกัน เต็มไปด้วยการเรียกเก็บเงินที่มิชอบ นักวิจัยอย่างเรานั่งน้ำตาไหลไม่เข้าใจว่า ก็นักวิชาการก็รู้สาเหตุแห่งปัญหาอยู่ แต่ทำไมงานวิชาการของเราไม่เป็นที่ยอมรับ การรักษาความมั่นคงของรัฐก็คือปล่อยให้พวกเขาเหล่านี้ต้องทุกข์ทรมาณไปเรื่อยๆ ด้วยปัญหาอันสืบเนื่องมาจากความไร้สัญชาติของพวกเขาหรืออย่างไร ? การไม่ให้สัญชาติไทยแก่คนต่างด้าวที่ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยเลย ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่การไม่ให้สัญชาติไทยแก่คนเชื้อสายไทยที่อพยพหนีภัยความตายกลับมายังแผ่นดินไทยนี่นะ เป็นการทำลายความมั่นคงแห่งรัฐอย่างนั้นหรือ ?

อคติประการหลังนี้อีกเช่นกันที่งานวิจัยพบว่า ทำให้คนเชื้อสายต่างประเทศจำนวนมากที่อาศัยอยู่อย่างกลมกลืนในประเทศไทยต้องเสียสัญชาติไทยเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ทั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชทานกฎหมายเพื่อขจัดความไร้สัญชาติของบุพการีของพวกเขาตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕ พระกรุณาของพระองค์ท่านถูกลบล้างลงโดยกฎหมายของคณะปฏิวัติที่เรียกกันว่า "ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๕"

ยกตัวอย่างจากกรณีครอบครัวอภิสกุลไพศาลที่นักวิจัยพยายามเสนอในพื้นที่สื่อมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ ข้อ ๑ แห่งประกาศคณะปฏิวัิติฉบับนี้มีผลเป็นการถอนสัญชาติไทยของนายอาฝะและนางเซี้ยวยีจึงซึ่งเป็นคนเชื้อสายลีซูที่เกิดในประเทศไทย และได้สัญชาติไทยโดยมาตรา ๓ (๓) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๔๕๖ ในวันที่ครอบครัวอภิสกุลไพศาลถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านในราว พ.ศ.๒๕๓๙ ครอบครัวนี้ก็ประกอบด้วยบิดามารดา และบุตรอีก ๙ คน ขอเราอย่าลืมว่า ประเทศลีซูไม่มีจริงบนโลกนี้ แม้จะมีการบันทึกในเอกสารของกรมการปกครองว่า พวกเขามีสัญชาติลีซุ การบันทึกในลักษณะนี้ก็ไม่อาจทำให้ครอบครัวอถิสกุลไพศาลหลุดพ้นจากปัญหาความไร้สัญชาติ กว่าจะแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติของคนในครอบครัวนี้ได้ ก็ใช้เวลากว่า ๑๐ ปี

ท่านศาสตราจารย์ มีชัย ฤชุพันธุ์ บอกเราในวันหนึ่งว่า ปัญหาดังกล่าวมาแก้ไขได้โดยกฎหมาย และเรามีหัวใจที่พองโตเมื่อท่านเตือนใจ ดีเทศน์บอกว่า เราจะปฏิรูปกฎหมายสัญชาติเพื่อแก้ปัญหาคนไร้สัญชาติในสังคมไทย แต่วันนี้ เราร้องไห้ เมื่อได้ยินว่า การให้สัญชาติไทยแก่คนต่างด้าวที่มีเชื้อสายไทยหรือคนต่างด้าวที่เกิดและอาศัยอยู่มานานแล้วในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ขัดต่อความมั่นคงของประเทศไทย คำถามที่ย้อนมาที่หัวใจ ก็คือ ความมั่นคงของประชากร มิใช่ความมั่นคงของรัฐหรือคะ

ถกร่าง พ.ร.บ.สัญชาติฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ....

ประชาไท - 18 ก.ค. 50 เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมจามจุรี บ้านธารแก้ว อ. เมือง จ. เชียงใหม่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (Stateless Watch) และศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) ร่วมกันจัดเวทีประชุมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ....เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะต่อร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... ฉบับดังกล่าว ในที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 18 ก.ค.นี้

นับจากปี พ.ศ. 2456 ที่ประเทศไทยบังคับใช้กฎหมายสัญชาติฉบับแรก คือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายสัญชาติหลายครั้งด้วยกัน ได้แก่ ปีพ.ศ.2495 โดยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2495 กฎหมายสัญชาติฉบับนี้ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติม โดยพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 2 ในปีพ.ศ. 2496, ฉบับที่ 3 ในปีพ.ศ.2499 และฉบับที่ 4 ปีพ.ศ. 2503 หลังจากนั้น ในปีพ.ศ. 2508 พ.ร.บ.สัญชาติฉบับปีพ.ศ. 2495 ก็ถูกยกเลิกด้วย พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508

และกฎหมายสัญชาติฉบับปีพ.ศ.2508 นี้ ถูกแก้ไขเพิ่มเติม 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515, ครั้งที่ 2 โดยพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 และโดยฉบับที่ 3 พ.ศ.2535

กล่าวได้ว่า แต่ละครั้งที่กฎหมายสัญชาติถูกแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกโดยกฎหมายสัญชาติฉบับใหม่ ล้วนส่งผลต่อสถานะบุคคลของบุคคลที่เกิด ปรากฎตัวและอาศัยอยู่ในดินแดนรัฐไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบุคคลนั้นถูกพิจารณาโดยกฎหมายว่าเป็นคนต่างด้าว และยิ่งไปกว่านั้น หากคนต่างด้าวนั้นถูกพิจารณาโดยกฎหมายว่าเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

แม้ว่าตามหลักกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ จะยอมรับว่า รัฐเจ้าของดินแดนมีอำนาจโดยอิสระในการกำหนดสัญชาติให้แก่บุคคลที่เกิดและปรากฎตัวภายในดินแดน ภายใต้หลักเขตอำนาจภายในของรัฐ (Domestic Jurisdiction) หากแต่คนไร้สัญชาติ รวมถึงคนไร้รัฐที่ปรากฎตัวขึ้นในดินแดนของรัฐไทย และการขยายตัวของจำนวนของคนกลุ่มนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ปรากฎตัวอยู่ในรัฐไทย ทำให้การตั้งคำถามต่อกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะเป็นข้อความจริงที่ว่า มีสาเหตุหลายประการที่นำไปสู่สถานการณ์คนไร้สัญชาติ ไร้รัฐ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในระดับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาจากตัวประชาชนหรือบุคคลเอง ปัญหาในเชิงนโยบาย แต่แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งนั้นย่อมต้องเกิดจากปัญหาจากตัวกฎหมายสัญชาติเองด้วย

ในปี 2550 สังคมไทยกำลังอยู่ระหว่างทางของการแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายสัญชาติฉบับปี 2508 อีกครั้ง สืบเนื่องจากการยกร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2550 โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการไร้สถานะทางกฎหมายและสิทธิของบุคคลในประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... ฉบับดังกล่าว ได้รับการเสนอแนะเพิ่มเติมโดย ศาสตราจารย์ มีชัย ฤชุพันธุ์ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2550 และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการไร้สถานะทางกฎหมายและสิทธิของบุคคลในประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2550 และเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2550

และล่าสุด จะมีการนำร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... ฉบับดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 18 ก.ค.นี้อีกครั้ง

ถก ม.7 ทวิ เสนอให้เด็กที่เกิดในไทย ให้ได้สัญชาติไทย (หลักดินแดน) โดยอัตโนมัติ

ในเวทีหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้มีการหยิบแต่ละมาตรามาถกกัน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ เช่นมาตรา 7 ทวิ ที่ใน มาตรา 7 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ย่อมไม่ได้สัญชาติไทย ถ้าในขณะที่เกิด บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้เกิด

ซึ่งในมติที่ประชุม เสนอให้เด็กที่เกิดในไทย ให้ได้สัญชาติไทย โดยถือหลักดินแดน เนื่องจากเห็นว่า เด็กมีสิทธิได้สัญชาติ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และปฏิญญาสากลขององค์การสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยได้ลงนามเอาไว้ แต่กรณีที่ไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติเด็กได้ ให้เด็กคนนั้นได้รับสัญชาติไทย โดยให้มีการเจรจาระหว่างรัฐในแง่หลักการของกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ

นายสมชาย หอมละออ กล่าวว่า เราขอเสนอให้เด็กที่เกิดในไทย ต้องได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมาย ไม่ว่าเด็กที่เกิดในเมืองไทยหรือเข้ามาในเมืองไทย รัฐบาลไทยจะต้องพิจารณาให้เด็กมีสัญชาติไทยได้

"เพราะว่าบุคคลจะอยู่โดยไม่มีสัญชาตินั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ในกรณีที่มีเด็กไร้สัญชาติที่บิดามารดามาจากประเทศพม่า รัฐบาลไทยจะต้องมีการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลพม่าเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้"

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชน กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ประเทศไทยเราไปลงนามสนธิสัญญาทั้งกติการะหว่างประเทศ และปฏิญญาสากลขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งตามหลักสากล เด็กที่เกิดในไทย จะต้องได้รับสัญชาติไทย แต่รัฐบาลไทยไม่ได้มีการปฏิบัติตามหลักปฏิญญาสากลใดๆ เลย ดังนั้น ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มสิทธิให้แก่เด็กที่เกิดและมีชีวิตอยู่ในเมืองไทย สามารถขอสัญชาติไทยได้

เสนอตัดตัวแทน ก.กลาโหม-อัยการ เพิ่มภาคประชาชนในคณะกก.กลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ

ในเวทีหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ....ฉบับดังกล่าว ยังได้มีการพูดถึงประเด็น มาตรา 25 เรื่อง คณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ ซึ่งในร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ....ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการไร้สถานะทางกฎหมายและสิทธิของบุคคลในประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เสนอไว้ คือ

ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงยุติธรรมหรือผู้แทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้แทน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือผู้แทน อัยการสูงสุดหรือผู้แทน ผู้แทนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแต่งตั้งจำนวน 1 คน ผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทำงานด้านสัญชาติ ซึ่งมาจากการคัดเลือกกันเองจำนวนสามคนและผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมวิทยา มานุษยวิทยาที่มีประสบการณ์การทำงานด้านสัญชาติเป็นที่ประจักษ์ ที่มาจากการคัดเลือกกันเอง ด้านละหนึ่งคนเป็นกรรมการ และอธิบดีกรมการปกครองเป็นกรรมการและเลขานุการ นั้น

ในที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอสัดส่วนของคณะกรรมการฯ จากเดิมภาครัฐ 9 คน ภาคประชาชนและผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เปลี่ยนเป็น ภาคประชาชนและผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน และภาครัฐ 7 คน โดยมีการเสนอให้ปรับตัวแทนจากกระทรวงกลาโหม เปลี่ยนเป็นตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการหรือสาธารณสุข แทน นอกจากนั้น ยังเสนอให้เอาอัยการออก แล้วเพิ่มตัวแทนภาคประชาชนสังคมเข้าไปแทน เนื่องจากเห็นว่าคณะกรรมชุดนี้ มีตัวแทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)อยู่แล้ว

โดยให้มีวาระการทำงาน ไม่ควรเกิน 2 วาระติดต่อกัน (ไม่เกิน 4 ปี) และให้เพิ่มเป็นมาตรา 25 วรรคท้าย

ในประเด็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ เดิมนั้น ในที่ประชุมให้ความเห็นว่า การให้อำนาจเสนอความเห็น นั้น ไม่ชัดเจน จึงควรระบุให้ชัดเจนว่าคณะกรรมการมีอำนาจในการ ทบทวน พิจารณากฎหมาย/ประกาศ/คำสั่ง/ระเบียบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำความเห็นเสนอเพื่อปรับปรุงแก้ไขหรือออกระเบียบ/คำสั่ง ฯลฯ และขอให้เพิ่มคณะกรรมการในการแต่งตั้งอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน อีกชุดหนึ่งด้วย

นอกจากนั้น ยังเสนอให้มีการเพิ่มอำนาจของคณะกรรมการกรณีมาตรา 7 ทวิวรรคท้าย โดยเสนอความเห็นรมต. ในการให้สัญชาติกรณีพิเศษ/เฉพาะราย และเพิ่มอำนาจของคณะกรรมการ ในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเสนอต่อครม. ในการให้สัญชาติแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง

ทั้งนี้ ได้มีการเสนอประเด็นที่คณะกรรมการควรพิจารณา คือ 1.กรณีขอสัญชาติโดยการสมรส (มาตรา 9) ไม่จำกัดว่าเป็นกรณีการสมรสตามกฎหมาย ในความเป็นจริง 2.กรณีหลักเกณฑ์หรือคุณสมบัติของหญิง/ชายต่างด้าว ที่จะขอสัญชาติโดยการสมรส (มาตรา 9) "คนต่างด้าว" ควรครอบคลุมถึงคนต่างด้าวทุกประเภท 3. คณะกรรมการควรเสนอถึงแนวทางการ/กระบวนการพิสูจน์การสมรส กรณีไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย (เช่น รับฟังพยานบุคคล) 4. ให้คณะกรรมการกำหนดกรอบ กรณีการถอนสัญชาติไทย "เพื่อความมั่นคงหรือประโยชน์ของรัฐ" (มาตรา 18) 5. หลักเกณฑ์/เงื่อนไขในการแปลงสัญชาติ /การแปลงชาติโดยการสมรส ของคนถือบัตรสี (อยู่ในเมืองไทยมานานแล้ว) ควรถูกพิจารณาทบทวนโดยคณะกรรมการ

จี้แก้ไข ม.21 ถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337

อีกประเด็นหนึ่งที่มีการถกเถียงกันมาก คือ มาตรา 21ที่ระบุว่า "บรรดาบุคคลที่เคยมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธ.ค. 2515 และผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้สัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธ.ค. 2515 รวมถึงบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและไม่ได้สัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

ถ้าบุคคลผู้นั้นอาศัยอยู่จริงในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันจนถึงปัจจุบันโดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร และเป็นผู้มีความประพฤติดีหรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมหรือประเทศไทย ให้ได้สัญชาติไทยตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้สัญชาติไทยแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ"

ซึ่งในที่ประชุมได้เสนอให้มีการแก้ไขผลกระทบจากปว. 337 ตามมาตรา 21 ดังนี้

1. กรณีกลุ่มที่ถูกถอนและไม่ได้โดยปว. 337 ควรได้รับคืนสัญชาติโดยอัตโนมัติ หรือกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข เนื่องจากเป็นคนไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิด เสนอให้ตัด ถ้าบุคคลผู้นั้นอาศัยอยู่จริงในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เพราะต้องพิสูจน์การเกิดไทยอยู่แล้ว และเป็นผู้มีความประพฤติดีหรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมหรือประเทศไทย

2. "ให้ได้สัญชาติไทยตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ" อาจทำให้เกิดการเว้นวรรค เท่ากับไม่ใช่การได้คืนสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน เสนอให้ตัด ข้อความนี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึง ถ้อยคำที่ว่า "เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้สัญชาติไทยแล้วก่อนวันที่พรบ. นี้ใช้บังคับ" ใช้คำว่า "ให้ถือว่า (กลุ่มที่ถูกถอน) ได้คืนสัญชาติไทย และ (กลุ่มที่เสียสัญชาติ) ให้ได้สัญชาติไทยโดยการเกิด"

เสนอให้แก้คำ "คืนสัญชาติไทย" ให้กับกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น

อีกประเด็นหนึ่ง ที่มีการถกเถียงและขอให้มีการแก้ไข คือ มาตรา 22 "บรรดาบุคคลที่สืบสันดานจากบุพการีที่มีเชื้อสายไทยแต่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยผลของกฎหมายอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ถ้าเข้ามาอาศัยอยู่จริงในราชอาณาจักรไทยโดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร และประสงค์จะขอกลับ "คืนสัญชาติไทย" ให้ยื่นแสดงความจำนงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

การพิสูจน์การเป็นผู้สืบสันดานจากบุพการีที่มีเชื้อสายไทยตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีโดยความเห็นของคณะกรรมการตามมาตรา 25 ประกาศกำหนด..."

ซึ่งการคืนสัญชาติไทยให้กับกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น ในที่ประชุมมีข้อเสนอให้เปลี่ยน จากคำว่า "คืนสัญชาติไทย" เป็น "ให้ได้รับสัญชาติไทย" กรณีคนไทยพลัดถิ่นที่ได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงแล้ว ให้ถือว่าได้รับสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้

หวังร่างไม่เต็มร้อย แก้กม.ปัญหา ที่เผด็จการทหารได้สร้างไว้

ภายหลังที่มีหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะต่อร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... ฉบับดังกล่าว ในที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 18 ก.ค.นี้

นายสมชาย หอมละออ ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า คงจะหวังร่างแก้ไขพ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.... ฉบับดังกล่าวนี้เต็มร้อยไม่ได้ แต่เงื่อนไขที่ได้เสนอไปหลายๆ ข้อ ก็คิดว่าเป็นก้าวที่สำคัญ แล้วก็เป็นการลดปัญหาที่กฎหมายฉบับก่อนๆ ซึ่งหลายฉบับออกมาโดยรัฐบาลเผด็จการทหารได้สร้างไว้

"เราก็ผลักดันเต็มที่แหละ แล้วก็พยายามชี้แจงให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ คณะทำงานของ สนช. ที่มีคุณเตือนใจ(ดีเทศน์) เป็นประธานแล้วก็ได้พยายามอยู่ แล้วก็น้องๆ ที่อยู่ในที่นั้น เราก็เป็นแรงสนับสนุนให้ท่านเหล่านั้นได้ทำงาน ได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งก็คงต้องไปชี้แจงไปเจรจาต่อตัวแทนของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งก็เรียนว่า ตัวแทนหน่วยงานต่างๆ ก็ต้องเปิดรับความคิดเห็นที่มีมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในแง่ของความมั่นคงแบบเดิมๆเท่านั้น แต่ต้องหมายถึงความมั่นคงของมนุษย์ในแง่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย แล้วก็ในแง่ของการที่จะสร้างความผสมกลมกลืน..."

คนทำงานด้านชาติพันธุ์โวย เพิ่งรู้ข่าวงุบงิบร่าง พ.ร.บ.สัญชาติฯ

ในขณะที่นายวิวัฒน์ ตามี่ ผู้ประสานงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) กล่าวภายหลังการประชุม ว่า เชื่อว่าข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้ คงไม่มีผล ไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะเชื่อว่าทาง กรรมาธิการ ของ สนช. มีเป้าหมายเพียงแค่หลอกให้เข้าร่วมประชุม แล้วอ้างว่าได้ผ่านหลักการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ซึ่งถึงที่สุดแล้ว เชื่อว่าก็คงไม่รับร่างที่เสนอเข้าในสภา ล่าสุด ทราบข่าวมาว่า ทางกรมการปกครอง ได้มีการแอบเตรียมร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ....เอาไว้อีกฉบับหนึ่ง เพื่อเตรียมเสนอให้สภาฯ หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ผ่าน

"...เป็นที่สังเกตว่า มีการแอบร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ....โดยคนทำงานด้านชาติพันธุ์และคนที่เป็นพี่น้องชนเผ่า พี่น้องชาติพันธุ์จริงๆ ไม่ได้มีใครรู้มาก่อน ไม่มีใครได้เข้าไปมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ต้น มีเพียงคนบางกลุ่ม ดังนั้น ซึ่งหากชุดกรรมาธิการ ร่าง พ.ร.บ.ฯ เอากันจริงจัง ก็จะต้องมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเพิ่งมาเร่งจัดเวทีกันตอนที่จะเข้าไปในสภาฯ แล้ว ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแบบนี้ และไม่ได้คาดหวังว่า มันจะผ่านสภาฯ หรือไม่..." นายวิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย