วันนี้ (20 กรกฎาคม 2549) มีโอกาสได้นั่งคุยกับดร.
พอนึกย้อนหลังการคุยเพื่อประเมินผลงานกันกับทีมอ.สายฤดี รวมทั้งการคุยครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน พิจารณาแล้วก็ไม่เหมือนการประเมินผลเลย เป็นการคุยแบ่งทุกข์สุขตามประสาคนทำงานในพื้นที่เดียวกันมากกว่า ถ้าพูดให้ง่ายแบบเหาขึ้นหัวก็ต้องว่า เหมือนเพื่อนเก่ามาเจอกันและคุยว่าที่ผ่านมาทำงานเหนื่อยไหม? อยากให้ใครช่วยทำอะไร? และน่าจะมีอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้งานเดินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สิ่งหนึ่งที่พวกเราเห็นพ้องกันคือ โครงการเด็กฯ ของมสช. แม้จะมิได้ออกดอกเห็นผลอย่างครึกโครม แต่เป็นการรวมองค์ความรู้เรื่องสิทธิเด็กเข้ามาอย่างเป็นระบบ ที่น่าจะเกิดประโยชน์ในระยะอย่างยิ่ง (ถ้าโครงการนี้สามารถเดินต่อได้ตามแผนงานที่วางไว้) และคุณานุปการที่เกิดจากโครงการนี้ ซึ่งไม่ทราบว่าองค์กร หรือทีมบริหารจะเห็นหรือไม่ก็ตาม ก็คือ ?คน? ที่ถูกนำมาเกาะเกี่ยวเข้ากันไว้
หนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา แม้ว่างานจะเดินอย่างเชื่องช้า แต่มิตรภาพวิ่งนำหน้าอย่างรวดเร็ว
ในช่วงท้ายของการคุยของพวกเรา ฉันนึกอยู่แล้วว่าจะถูกโน้มน้าวให้กลับมาช่วยนพ.
ฉันบอกตามตรงว่ามีงานมากมายที่อยากทำและรักจะทำ แต่ติดด้วยเงื่อนไขการทำวิทยานิพนธ์ ที่ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะต้องสอบเค้าโครงให้ได้ และให้วิทยานิพนธ์แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2540 อีกทั้งการไม่มีทีมงานเหมือนที่ผ่านมาและการไล่ลูกน้องบางคนออกชนิดที่ไม่ต้องเผาผีกัน เพราะความไม่ซื่อสัตย์ คดโกง ไว้ใจไม่ได้ มันทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจเหมือนเมื่อก่อนนัก
ว่าไปแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะโครงการเด็กฯ ฉันได้ปฏิเสธงานทิ้งไปมากมาย ช่วงที่ผ่าน ก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่า ?ผู้ใหญ่? ค่อนข้างหัวเสียที่เรายืนกรานเช่นนั้น จน อ.แหวว บอกว่า ?ฉันอารมณ์ในการทำงานมากเกินไป? แม้อ.สายฤดี ก็เปรยออกมา ?ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่ถึงไม่มีใครสนใจทำงานเรื่องเด็ก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ?
บรรยากาศเริ่มต้นก็ว่าดี แต่ตอนลงท้ายนี่ สงสัยฉันเอาอีกแล้ว ถนัดจริงๆ ทำให้ผู้ใหญ่หัวเสียได้เนี่ย...อิ อิ