Skip to main content

วันนี้พาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดี...

(ความจริงแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ขนาดที่ต้องหามส่งโรงพยาบาล เพียงแค่น้ำหนักเกินมาตรฐาน ความดันสูงนิดหน่อย จึงอยากให้แม่ได้คุมความดัน และคอยเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอว่า ไม่ได้นำไปสู่โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคอื่นใดมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็อยากให้แม่ได้พบหมอเป็นประจำเพื่อได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวในยามวัยทองอย่างเป็นระยะ เพราะพอผู้หญิงสูงอายุแก่ตัวลงโรคต่างๆ มักรุมเร้า แล้วเราก็ไม่อยากไปรักษาเมื่อ ?อาการหนัก? )

ความจริงแม่มีบัตร 30 บาท อยู่ที่โรงพยาบาลวชิระฯ ฉันอาจเข้าใจผิดไปเองก็ได้ว่าบัตร 30 บาทนั้น มีไว้ ?รักษา? ยามจำเป็น แต่เมื่อต้องคอยดูแลสุขภาพ การ ?ตรวจ? สุขภาพอย่างสม่ำเสมอ คงไม่ได้อยู่ในบริการ

อีกทั้ง ฉันมีเพื่อนเป็นหมอเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่รักษาโรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจด้วย ?อาหาร? มิใช่ยา การไปโรงพยาบาลรามาฯ จึงเป็นทางเลือกหลักที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันหลักสุขภาพของรัฐ แต่เป็นระบบหลักประกันสุขภาพ(ทางใจ)ของครอบครัวเรา...

และนั่นก็เป็นทางเลือกของคนชนชั้นกลางที่พอจะจ่ายไหว..

แต่การไปโรงพยาบาลของเราคราวนี้ สะเทือนใจอย่างไรไม่รู้ซิ...

เวลากว่าชั่วโมงที่หน้าหองจ่ายยากลางของโรงพยาบาลที่เรายินดีรอมันอย่างเชื่องช้า มีคนจำนวนมาก ?ดิ้นรน? เหนือความคาดหมายของเรา

............

ฉันถือบัตรคิวหมายเลข 1376 เวลาล่วงเข้าประมาณเกือบบ่ายสองโมง ทั้งๆ ที่เรามากันตั้งแต่แปดโมงเช้ากว่าๆ โดยฉันไปรับบัตรคิว พาแม่ไปเจาะเลือด ระหว่างรอผลเลือดก็พาแม่ไปกินข้าวมือแรกของวัน และกลับมานั่งคอยเพื่อได้พบกับเพื่อนหมอตามระเบียบ..

เมื่อมาที่ห้องจ่ายยา ฉันส่งใบสั่งยาเพื่อให้ฝ่ายการเงินคำนวณค่ายาซึ่งจะแจ้งผลให้เราทราบบนจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่กลางห้องโถงนั้น และรับบัตรคิว

ฉันสังเกตว่า คิวหมายเลขต้นๆ หลักสิบ และหลักร้อยยังปรากฏอยู่ และเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ...

ฉันเพิ่งเข้าใจสาเหตุบางประการก็วันนี้เอง....

หลังทราบจำนวนค่ายาที่ต้องจ่าย ฉันก็เดินไปที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเป็นให้ต่อแถวกัน 3 ช่อง ฉันเดินเข้าไปช่องกลางที่ดูแล้วว่าแถวสั้นที่สุด...

ระหว่างรอรับเงินทอน.. ก็ได้ยินเสียงคุณยายคนหนึ่งแว่วมาจากทางขวามือ

?ขอโทษที่นะหนู ยายวิ่งกลับไปเอาเงิน จริงๆ ไปยืมเขานั่นแหละ ยายถือมาแค่สามร้อยบาทเองตอนแรก เพราะทุกเดือนค่ายาจะอยู่ประมาณสองร้อย สองร้อยกว่าๆ.. แต่เดือนนี้ตั้งเจ็ดร้อยบาท...?

คุณยายพยายามขอโทษขอโพยเจ้าหน้าที่อย่างตื่นเต้นและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเห็นได้ชัด กระแสเสียงเต็มไปด้วยความเกรงใจว่าจะเป็นที่รำคาญของของเจ้าหน้าที่และคนอื่นๆ ส่วนเจ้าหน้าที่การเงินก็คงรับเงินจากมือคุณยายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำงานดั่งเครื่องจักร ที่ต้องทำเวลาต่อคนต่อนาทีให้น้อยที่สุดตาม ?ระบบ?

ฉันไม่อยากมองและได้ยินต่อว่า คุณยายจะจัดการอย่างไรกับตัวเองต่อไป เพราะเห็นท่านงกเงิ่นๆ นับเงินทอนอย่างระวัง

พลันหูฉันก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทางซ้ายมือ

?ขอโทษนะค่ะ คือว่าเงินไม่พอขอมาจ่ายและรับยาพรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ จะเก็บยาไว้ให้หรือเปล่า เพราะวันนี้คงกลับมาไม่ทันแน่แล้ว..? เธอกล่าวกับเจ้าหน้าที่อย่างเกรงใจ และเจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างนุ่มนวลหู ผิดคาด (เพราะฉันคิดไปเองว่าเจ้าหน้าที่จะดุ และเสียงดังใส่ ที่เธอทำให้ระบบยาของโรงพยาบาลแปรปรวน)

?ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ถ้ามาก็ค่อยมาจ่ายค่ายาที่นี่ และไปรับยาที่ห้องยาได้เลย บอกเจ้าหน้าที่เขานิดหนึ่งว่า เป็นหมายเลขของเมื่อวาน เขาจะจัดและเก็บยาไว้ให้ค่ะ?

ความปราณีของเจ้าหน้าที่ และ ?ระบบ? นั้น ไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นเลย เพราะฉันเพิ่งสังเกตว่าเธอจูงลูกสาวตัวน้อยดูแล้วไม่น่าจะเกินสามขวบมาด้วย ฉันใคร่รู้อย่างรุนแรงว่าเธอหรือลูกสาวกันแน่ที่ไม่สบาย.. และยามื้อแรกของสองแม่ลูกนี้จะเป็นเมื่อไหร่กันหนอ ...แต่ฉันก็ไม่กล้าถามเธอ

ฉันถอยหลังมาคอยเสียงเรียกเจ้าหน้าที่จากห้องยาให้ไปรับยาอย่างยาวนานอีกครั้ง โดยไม่สามารถปัดความรู้สึกหดหู่เมื่อสักครู่ได้เลย และเงยหน้าไปมอง ?คิว? ที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์อีกครั้ง คราวนี้ฉันอ่านมันอย่างละเอียดมากขึ้น

ข้อมูลบนจอโทรทัศน์มี 3 แถว คือ แถวแรกเป็นเลขบัตรคิว แถวถัดมาเป็นชื่อผู้ป่วย และแถวสุดท้ายเป็นจำนวนเงินค่ายา ที่โรงพยาบาลออกแบบระบบอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อแจ้งให้ป่วยทราบและเตรียมเงินให้พร้อม โดยคิวค่ายานี้จะทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ วนอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่หลักหน่อย สิบ ร้อย และจำนวนพัน แบบที่ฉันกำอยู่ในมือ บรรทัดสุดท้าย ที่แยกต่างหากจากอักษรที่วนอยู่ตลอดเวลานั้น แจ้งให้ทราบว่าขณะนี้มีผู้รอคิวประมาณ 75 คน

ถ้ามีคิวเพียงแค่ 75 คน และช่องว่างความต่างระหว่างคิวหลักสิบ และหลักร้อย บนจอที่ฉันเห็นอยู่ตอนช่วงเวลาเกือบบ่ายสองโมงหมายถึงอะไรกันเนี่ยยยยย....

มีคนมารักษา ยื่นใบสั่งยาให้ห้องการเงิน แต่ไม่มารับยาหรือ...

ปรากฏการณ์แบบนี้อธิบายอะไรแก่เราได้บ้าง?