Skip to main content


ว่าด้วยการบังคับใช้ พรบ ความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 19 กรกฎาคม เป็นต้นไป


วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2550 คือวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง พรบ ฉบับนี้เป็นกฏหมายฉบับแรก ที่ถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช) ภายหลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ทั้งนี้ หลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลบังคับใช้จริงภายใน 30 ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คือวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็นวันที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อพลเมืองไทยทุกคน โดยเฉพาะปัจเจกบุคคล หรือ กลุ่มบุคคลที่ความเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทุกมิติ อีกทั้ง กระทรวงไอซีทีกำลังดำเนินการผลักดัน กฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายประกอบ พ.ร.บ. ความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จำนวน 3 ฉบับ คือ ...

  • หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
  • หลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.
  • กฎกระทรวงว่าด้วยการยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส) และ เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT) เห็นความสำคัญในการมีกติกาสำหรับการป้องกันการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณชน แต่เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการควบคุมสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร (Communication Rights) ของพลเมือง ทั้งนี้เรามีข้อสังเกตว่า

การออกพ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯ เป็นการออกกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างมากในการตรวจสอบข้อมูลทั้งโดยผ่านศาลและอำนาจโดยตรงของ เจ้าหน้าที่ ซึ่งกฎหมายยังกำหนดด้วยว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท (Internet Service Providers-ISP) จะต้องเก็บข้อมูลย้อนหลังไว้นานถึง 90วันไว้ให้เจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรับรู้ ดังนั้นหากเปรียบก็เหมือนเราจะถูกค้นบ้านได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลและไม่ต้องแจ้งเรา นอกจากจะถูกค้นได้ภายในวันนั้นแล้ว ยังสามารถถูกย้อนหลังตรวจได้อีก 90 วัน ซึ่งนอกจากจะถูกลิดรอนสิทธิการตรวจสอบข้อมูลที่ถือได้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลในการสื่อสารแล้ว ขณะนี้ยังมีประเด็นที่เป็นข้อกังวลถึงความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายด้วยว่า เมื่อมีกฎหมายมาแล้ว แต่ในกฎหมายกลับยังไม่มีการระบุคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติตามกฎหมายนั้นว่าจะได้มาอย่าง ใครจะเป็นผู้แต่งตั้งมา ดังนั้นจึงต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการระบุกติกาที่มาของเจ้าหน้าที่อย่างไร

การออกกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดคอมพิวเตอร์ เป็นการออกกฎหมายตามที่เคยต้องการให้มีกฎหมายควบคุมสื่ออิเล็กทรอนิคส์ ที่เดิมออกแบบกฎหมายไว้ 6 เรื่องซึ่งจะมีทั้งการป้องกันปราบปราม และการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล แต่ปรากฏว่าในการออกกฎหมายครั้งนี้รัฐบาล ตั้งใจเลือกจะออกแต่เฉพาะกฎหมายที่เป็นการปราบปราม ซึ่งกระทบและลิดรอนสิทธิประชาชนผู้สื่อสาร โดยรัฐบาลไม่คิดที่จะยกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาใช้บังคับร่วมกันเลย ซึ่งหากจะออกฎหมายที่มีผลตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารของบุคคลย้อนหลังได้ถึง 90 วัน รัฐก็ควรผลักดันให้ออกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย

เราเกรงว่า นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป รัฐ จะใช้ กฎหมายดังกล่าวในการ ลิดรอนสิทธิความเป็นส่วนตัว (Right to privacy) และ สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) ของประชาชนหนักข้อขึ้นด้วยการใช้กฏหมายโดยมีเหตุผลซ่อนเร้นทางการเมืองมากกว่าการป้องปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่สังคมไทยขาดความเป็นประชาธิปไตย และแนวโน้มในอนาคตที่รัฐอำนาจนิยมจะครอบงำสิทธิเสรีภาพพลเมืองไทยมากขึ้น เช่นการผลักดันกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ... หรือทิศทางการสืบทอดอำนาจของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช) เป็นต้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่สังคมไทยจะต้องตื่นตัวเฝ้าระวังการใช้อำนาจรัฐคุกคามสิทธิของประชาชนอย่างจริงจังมากขึ้น
เรา เห็นด้วยกับหลักการในการคุ้มครอง เด็ก หรือ บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่รับความเสียหายจากการใช้คอมพิวเตอร์ แต่ เราไม่เห็นด้วยที่รัฐจะมีอำนาจมากเกินไปในการควบคุม เซ็นเซอร์ เนื้อหาสาระในสื่อคอมพิวเตอร์ หรือ อินเตอร์เนท จนกระทั่งทำให้เส้นแบ่ง ระหว่างการที่รัฐจะปกป้องผู้ที่ถูกกระทำจากคอมพิวเตอร์ กับ การละเมิดสิทธิของพลเมือง โดยรัฐเองนั้นคลุมเครือยิ่ง

การเปิดช่องให้ เจ้าหน้าที่รัฐ สามารถเข้า ค้น ยึด อายัด สื่อคอมพิวเตอร์ ได้นั้น ย่อมไม่ต่างจากแนวคิดรัฐอำนาจนิยมในอดีตที่ออกกฏหมายให้มีการยึด แท่นพิมพ์ หรือ จับกุมเครื่องส่งกระจายเสียงสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ถ้ารัฐเห็นว่าการกระทำใดขัดต่อกฏหมาย หรือ ความมั่งคงของรัฐ ทั้งที่กระบวนการร่างกฏหมาย ดังกล่าวนี้ ไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่สำคัญกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มาจากสภานิติบัญญัติซึ่งเป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนเลย แต่ผลก็คือเราทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างยอมจำนน

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2550 เป็นวันที่กฏหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ คปส และ เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย ขอเรียกร้องให้ สื่อมวลชน ชุมชนสื่อออนไลน์ ช่วย เผยแพร่ ข่าวสาร ความคิดเห็น หรือ ส่งเสียงประท้วงคัดค้าน ในกรณีที่มาตรการตามกฏหมายดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสวงหาข้อมูล เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่าน สื่อคอมพิวเตอร์ และ สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะเสรีภาพของประชาชนที่มีจุดยืน ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกทางการเมืองแตกต่างจากอำนาจรัฐ


ถึงเวลาแล้วที่ พลเมือง ผู้ไม่ยอมรับการคุกคามสิทธิเสรีภาพผ่านสื่อออนไลน์ (Cyber dissidents) จักต้อง รวมพลังกัน ติดตาม ตรวจสอบ คัดค้าน หรือ ประท้วง การใช้อำนาจของรัฐในทางมิชอบ ก่อนที่เราจะตกเป็นฝ่ายที่ถูกรัฐจัดการ ตรวจสอบและ ดำเนินคดีกับเราคนใดคนหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว

เราต้องไม่ยอมให้รัฐ รุกล้ำ คุกคาม สิทธิความเป็นส่วนตัว สิทธิพลเมือง และ สิทธิทางการเมือง มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อสิทธิเสรีภาพถูกยึดกุมไปได้แล้ว ยากที่เราจะเรียกร้องให้คืนกลับมา


ที่สำคัญ ความผิดทางอาชญากรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นคนละเรื่อง กับเสรีภาพการนำเสนอข้อมูลและแสดงความคิดเห็นผ่านสื่ออินเตอร์เนท เพราะ การพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่อาชญกรรม อีกทั้ง เวบไซต์การเมืองไม่ใช่ เวบโป๊เปลือย การอ้างเรื่องการควบคุมเวบไซต์ลามกอนาจารพ่วงแถมด้วยการควบคุมเวบไซต์ทางการเมืองด้วยนั้น เท่ากับรัฐกำลังทำให้ การเมือง เป็นเรื่องอนาจาร ที่ประชาชน ไม่ควรดู ไม่ควรอ่าน ไม่ควรคิด ไม่ควรพูด หรือแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกใดๆ ในพื้นที่สาธารณะ

เสรีภาพในการแสดงออกผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ ไม่ต่างจากเสรีภาพสื่ออื่น เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือสื่อสารมวลชนใดในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารเชื่อมถึงกันหมด (Convergence) ดังนั้นจึงต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง เพราะสิทธิเสรีภาพสื่อเหล่านี้ มันคือสิ่งชี้วัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งถือ เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย

คณะกรรมการณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ติดต่อ คปส. สุภิญญา กลางณรงค์ [email protected]
FACT อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล [email protected]
โทรศัพท์ 02-6910574


คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)
409 ซอย รัชดา 14 ห้วยขวาง กรุงเทพ 10320
โทรศัพท์ และ โทรสาร 02-6910574
www.media4democracy.com


Campaign for Popular Media Reform (CPMR)
409 Soi Ratchada 14, Huay kwang, Bangkok 10320 Thailand
Tel& Fax +662-6910574


ประชาธิปไตย สู่เสรีสื่อ เสรีประชาชน
Democracy for FreeMedia FreePeople